1939 - 1945 เป็นยุคเฟื่องฟูของการถักนิตติ้ง ขนแกะขาดแคลนเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ก็ได้สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้หญิง มีการหันมาเลาะตะเข็บจากเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเก่า ๆ ที่ไม่ใช้งานแล้วตลอดจนขนสัตว์ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง มีการสร้างแพทเทิร์นการถักนิตติ้งขึ้นมากเพื่อให้ประชาชนได้ถักเครื่องนุ่งห่มให้กับกองทัพทหารไว้สวมใส่ ในช่วงฤดูหนาว เช่น หมวกไหมพรม และถุงมือ เป็นต้น นี่ก็ไม่เพียงแค่เป็นการผลิต สิ่งจำเป็นต่าง ๆ ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังเป็นการประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้กับประชาชนใน เรื่องสงครามได้ที่เรียกว่าhome front
1950 และ 60 เป็นยุคแห่งเครื่องนุ่งห่ม ภายหลังการเกิดสงคราม การถักนิตติ้งได้แพร่หลายเป็นอย่างมาก ในเรื่องเริ่มมีการผลิตไหมหลากหลายสีสัน และรูปแบบหลาย ๆ พันแพทเทิร์นที่มีสีสันสดใสกลายเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ในยุคนี้ชุดที่ประกอบไปด้วยเสื้อแขนสั้นสีเดียวกันกับเสื้อขน สัตว์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เป็นยุคที่การถักนิตติ้งไม่ใช่เป็นเพียงงานอดิเรกแล้ว โดยบรรดาเด็กผู้หญิงมักคุยกันถึงเรื่องของการเข้าเรียน การถักนิตติ้งในโรงเรียน เกิดนิตสารอย่าง " Pins and needles " ขึ้น ซึ่งเป็นนิตรสารที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของการถักนิตติ้งเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นแพทเทิร์นที่ยาก ๆ และไม่เพียงแต่แพทเทิร์นเสื้อผ้าเท่านั้น ยังมีแพทเทิร์นพวกของเล่น กระเป๋า ซึ่งสามารถสร้างรายได้ได้
1980 เป็นยุคเสื่อมถอย ความนิยมของการถักนิตติ้งเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัดในยุค 1980 ในฝั่งโลกตะวันตกไหมและแพทเทิร์นต่าง ๆราคาตก ต่ำลง เช่นเดียวกับที่งานฝีมือต่าง ๆ ก็มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากแฟชั่นเก่า ๆ ผลจากการเพิ่มขึ้นนี้และรวมถึงราคาที่ลดลงของการถักนิตติ้งด้วยเครื่องจักรนั้นบ่งบอกถึงว่าผู้บริโภคสามารถที่จะมีเสื้อสเวตเตอร์ได้เทียบเท่าการเสื้อขนสัตว์และตามรูปแบบของพวกเขาเองหรือบ่อยขึ้น
ยุค ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคแห่งการฟื้นฟู หลังจากที่นิตติ้งได้เสื่อมถอยลง พอมาถึงในศตวรรษที่ 21 กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เส้นใยจากธรรมชาติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยจากสัตว์ เช่น พวกอัลพาคาร์ แองกอร่า และมาริโน เป็นต้น หรือจะเป็นเส้นใยจากพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเส้นใยจากฝ้าย เนื่องจาก หาได้ง่าย ราคาไม่แพง หาได้ทั่วไป ผู้บริโภคจะมีการมองหาเส้นใยจากต่างประเทศ เช่น เส้นใยจำพวกไหม ไม้ไผ่ หรือขนวัว ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โรงงานเริ่มมีการผลิตเส้นไหมที่แปลกใหม่มากขึ้น บรรดานักออกแบบเริ่มมีการสร้างงานแพทเทิร์นที่ค่อย ๆ เป็นการตัดเย็บที่ชิ้นงานใหญ่ขึ้นและทำได้อย่าง เร็ว บรรดาผู้มีชื่อเสียง อย่างเช่น Julia Roberts , Winona Ryder Dakota Fanning และ Cameron Diaz เริ่มสนใจการถักนิตติ้งและช่วยทำให้งานฝีมือได้รับความนิยมอีกครั้ง สำหรับในศักราชใหม่นี้ยังมีการถักนิตติ้งที่สร้างสรรค์โดยบรรดาผู้ชายอีกด้วย
ศิลปะ แห่งการถักนิตติ้งได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อินเทอร์เน็ตทำให้มีการติดต่อระหว่างกันของคนถักนิตติ้งและ ได้แลกเปลี่ยนความสนใจ ความรู้ ระหว่างกันและกันไปทั่วโลก โดยในช่วงแรก ๆ สมาชิกในกลุ่มการถักนิตติ้งที่ติดต่อกันทางอินเทอร์เน็ตมีประมาณ 1พันคน และในปี 1998 ได้มีนิตยสารออนไลน์เกิดขึ้นชื่อว่า KnitNet และหลังจากนั้นก็จุดประกายให้เกิดกลุ่มผู้ถักนิตติ้งนานาชาติขึ้น